อีกบทบาทหนึ่ง - อีกบทบาทหนึ่ง นิยาย อีกบทบาทหนึ่ง : Dek-D.com - Writer

    อีกบทบาทหนึ่ง

    ปัญหาของเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คือ การมีความรัก และเผลอพลั้งพลาดจนตั้งครรภ์ หลายๆคนต้องลาออกจากการเรียนและต้องเสียอนาคต บทบาทของอาจารย์ที่ปรึกษาจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง

    ผู้เข้าชมรวม

    68

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    68

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ก.ค. 67 / 07:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                       อีกบทบาทหนึ่ง 

       บังเอิญผมได้รับประสบการณ์นี้ ตั้งแต่ครั้งที่ผมยังเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมปลาย มาก่อน  พูดถึงเรื่องเพศระหว่างเพศชายกับเพศหญิง จะเห็นได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่เด็กหญิงจะมีการเจริญเติบโตที่เร็วกว่าเพศชาย  ผมยังเคยสังเกตเห็นเพื่อนผู้หญิงที่เรียนในชั้นประถมปลาย เริ่มจะมีการใส่เสื้อคอกระเช้ากันบ้างแล้วเป็นเพราะพวกเธอ เริ่มมีหน้าอกที่ใหญ่ขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากเป็นวัยเจริญพันธุ์  ส่วนใหญ่เพื่อนหญิงในชั้นเรียนของผม จะมีร่างกายที่สูงใหญ่กว่าเพศชายอย่างพวกเรา อย่างเช่น วัฒนา  วิภา ราณี เพื่อนหญิงในห้อง เมื่อลองมาเทียบกับทินกรเพื่อนชาย ที่เป็นคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในห้อง ยังมีขนาดสูสีกับเพื่อนหญิงเลย  เมื่อตอนเรียนชั้นประถมต้นเพื่อนหญิงทุกคนจะมีขนาดรุูปร่างเท่าๆกัน หรืออาจจะดูตัวเล็กกว่าพวกผู้ชายในชั้นเรียนเสียอีก  แต่พอมาเรียนชั้นประปลายประมาณป.6-ป.7  พวกเธอก็โตเอา-โตเอา ที่เคยเล่นกันแบบกันเองแบบลิงทะโมน เล่นเตะบอล ลิงชิงบอล แบบเด็กแก่นๆ ก็ลดบทบาทมาเป็นการรักความสวยความงาม เล่นตุ๊กตา หมากเก็บ เล่นขายของไปตามประสา

       ตอนที่ผมเรียนชั้นประถมปีที่ 6  มีเพื่อนร่วมชั้นของผม ที่เป็นรุ่นพี่หนึ่งปีชื่อ สมศรี อายุของเธอแก่กว่าพวกเราหนึ่งปีื เนื่องจากเธอสอบตกจึงต้องเรียนซ้ำชั้นเดิม พวกเราซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น ทั้งยังไม่เคยคิดที่จะเรียกสมศรีว่า "พี่สมศรี"ทั้งๆที่เธอมีอายุอาวุโสกว่า  ผมคุ้นเคยกับสมศรีดี  เพราะเธอเคยมาเที่ยวที่บ้านของผมบ่อยๆ เนื่องจากตอนเรียนชั้นประถม 1 - 6 เธอเคยเรียนชั้นเดียวกันกับพี่สาวของผมและเพิ่งจะมาสอบตกเอาในปีนี้ การมาเที่ยวของสมศรีกับเพื่อนๆสี่ห้าคน พวกเธอมักจะมาเล่นหมากเก็บ แต่งตัว ตัดเย็บเสื้อผ้า หวีและสระผมตุ๊กตาที่ทำจากลูกตาล   เมื่อสมศรีต้องมาเรียนชั้นเดียวกับผม ผมจึงรู้สึกเกรงใจเธอ  

        สมศรี… เป็นคนสวยมาก รูปร่างเธอเหมือนเด็กสาววัยรุ่นไปแล้ว ต่างกับพวกเรายังเป็นเด็กๆที่เติบโตขึ้นอย่างช้าๆ ในห้องชั้นป.6 / 1 ในเวลานั้นมีผู้หญิงเพียง 8 คน ผู้ชาย30 คน ความแก่นแก้วของสมศรี นี้กระมังถึงทำให้เธอต้องสอบตก ต้องเรียนซ้ำชั้นเดิม 

         เมื่อมีการเลือกหัวหน้าชั้นเรียน เพื่อนๆในชั้นได้เสนอให้ ธว้ธ เป็นหัวหน้าชั้นเรียน ครูประจำชั้นได้เสนอให้เลือกผู้ช่วยประจำชั้นอีกหนึ่งคน ทุกคนมีความเห็นว่าสมศรี มีความเหมาะสมทุกประการที่จะเป็นรองหัวหน้าชั้น  แม้เธอจะเป็นผู้หญิง แต่เธอมีบุคลิกทั้งบู๊ทั้งบุ๋น  ใจสปอร์ต แกร่งกล้าบ้าบิ่น ไม่แพ้เพื่อนชาย เวลานี้เธอมีอายุปาเข้าไป 13 ปี ย่างเข้าสู่วัยดรุณี  หน้าตา หุ่น รูปร่าง ดังกับคนอีกวัยหนึ่ง ที่ไม่น่าจะมาเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษา

          “พวกแก มีอะไรจะให้ช่วย บอกชั้นมาเลย”สมศรีพูด

        คำพูดของสมศรี ที่บ่งบอกถึงความใจสปอร์ตของเธอ บ่อยๆครั้งที่เพื่อนในห้องนัดต่อย ตบตี  กันตามประสาเด็ก สมศรีจะต้องมีส่วนร่วมในการเป็นกรรมการห้ามมวยคือเป็นคนกลางที่จะไม่ให้เกิดการรุมกับอีกฝ่ายที่มีคนน้อยกว่า การที่เธอตัวใหญ่กว่าใครๆ จึงได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ  ที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจตระเวณชายแดน (ต.ช.ด) ซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียน150 เมตร มักเป็นสถานที่พวกเด็กๆในโรงเรียน มักนัดพบกันพื่อเคลียร์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคลต่อบุคคล เป็นเพราะด้วยกฎระเบียบของโรงเรียนมีว่าหากนักเรียนคนหนึ่งกับคู่กรณีมีการชกต่อยในห้องเรียน หากเรื่องเข้าถึงหูถึงฝ่ายปกครอง คู่วิวาทและคนยั่วยุให้เกิดเรื่องขึ้นมา จะต้องถูกลงโทษที่หน้าเสาธงต่อหน้าคนอีก 800 คน นี่จึงเป็นส่วนน้อยที่พวกเราจะสาวหมัดกัดแขนเตะต่อยกันอุตลุด เพราะเกรงการลงโทษ

       “ห้ามใครปากหมา ไปฟ้องคุณครูเชียว  ”สมศรีพูดกับเพื่อนร่วมชั้น  เพื่อปรามใครที่อยากจะเอาหน้าไปฟ้องครูเพื่อจะได้มีความดีความชอบ

         จริงๆเพื่อน มิได้กล้วสมศรีหรอก แต่เป็นเพราะเธอมีความดี ใจใหญ่  มักมีของกินมาแจกให้พวกเรากินบ่อยๆ ทุกคนก็เลยเกรงใจ ในห้องที่ผมเรียนอย่าง ไอ้ตั้ง ไอ้ตุ๊ ซึ่งเกเรที่สุดในห้องยังยอมซูฮกไอ้สมศรีเลย

         ครอบครัวของสมศรี มีฐานะค่อนข้างดี พ่อของสมศรีชื่อแผนอดีตเคยรับราชการตำรวจ ซึ่งลาออกมาทำธุรกิจการค้าชายแดนกับนักธุรกิจจากกัมพูชา สมศรีเป็นลูกคนกลางเธอมีพี่ชายกับน้องชาย ความแก่น ความก๋ากั่นของเธอคงเกิดจากสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่มีแต่ผู้ชาย  

         “ไอ้ตุ๊ ไอ้ตั้ง วันนี้บ่ายสอง ในวิชาพละศึกษาเอ็งชวนขาไพ่ผสมสิบไปเล่นกันตรงซุ้มกองฟางติดถนนสุวรรณศรนะ”สมศรีเสนอแนวคิด

          “ได้ เดี๋ยวกูจัดการชวนไอ้นันต์ ลูกป้าแก้ว ไอ้ยศลูกตาเผือกและ ไอ้ใหญ่ไปด้วย ”

           เด็กๆในห้องแถว ไม่ว่าจะเป็นตลาดนอก ตลาดใน ตลาดสด โรงฆ่าสัตว์ และบ้านดาวทอง ล้วนแต่มีพื้นฐานการเล่นไพ่อยู่แล้ว ไพ่ที่เล่นแบบง่ายๆพื้นๆคือไพ่คู่ และที่ยากขึ้นมาอีกนิดคือไพ่ผสมสิบ แรกๆไพ่ผสมสิบ ผมก็เล่นไม่เป็น เมื่อได้มาดูพวกไอ้สมศรี ไอ้ตุ๊ ไอ้ตั้ง ไอ้นันต์ ไอ้ยศ เล่นก็เริ่มซึมซับ การเล่นของพวกเราไม่ได้ใช้เงิน เป็นเครื่องเดิมพันแต่จะใช้พวกตัวตุ๊กตา ในรูปแบบไอ้มดแดง หวกซองบุหรี่ และหนังยาง แล้วแต่จะกำหนดกติกากัน

       ส่วนใหญ่วิชาพละศึกษา หลังจากฝึกวินัยการเข้าแถวสักยี่สิบนาทีแล้ว ครูก็จะปล่อยให้เล่นกีฬาที่ตนเองชอบ อย่างเช่นฟุตบอล บาสเกตบอล หรือหากใครไม่ชอบกีฬาทั้งสองประเภทนี้ ก็อาจจะไปเล่นอะไรก็ได้  

       “ไปโว้ยพวกเรา ชั้นเตรียมสำรับไพ่ มาด้วย ”สมศรีพูด

      “นี่ไอ้ขลุ่ย เอ็งมาดูวิธีการเล่น พอชั้นแจกไพ่รอบวงให้คนละ 5 ใบแล้ว หลังจากนั้นเอ็งก็ดูไพ่ที่ถือในมือว่ามีอะไรที่มันสามารถเข้าคู่ จนนับถึงสิบแต้มได้ เอ็งก็เสียบไว้ใกล้ๆกัน อย่างในมือชั้นตอนนี้ มันมีใบหนึ่งเป็นเลข 8 อีกใบเป็นเลข 2 นีก็เท่ากับว่าเข้าคู่กันได้  ที่เหลืออีกสามใบฉันมีเลข 7 กับเลข 3 มันก็เข้าคู่เป็นสิบ ที่นี้ในมือฉัน มันเหลือใบนึงคือเป็นเลข 5  การจะเกมได้ ต้องหมายถึงสมมติถึงคิวที่เราจั่วไพ่ หากเราบังเอิญจั่วได้เลข 5 นี่ถือว่าฟลุ๊กมาก เท่ากับว่าเราได้เลขที่ต้องการคือเลย 5 ”สมศรี กระซิบบอก เพียงผมได้ดูเพื่อนเล่นกันสักสามรอบ ผมก็สามารถร่วมวงเล่นได้แล้ว 

                                              *********************************

             เมื่อขึ้นชั้นประถม 7 สมศรีต้องไปเรียนอยู่ห้องป.7 /4   เราจึงไม่ค่อยได้พบกันดังแต่ก่อน ระยะหลัง สมศรี ไม่ค่อยได้มาเรียนเป็นเพราะเธอมีแฟนทหาร มียศเป็นนายสิบ ค่ำวันหนึ่งที่ผมนำขนมจากที่บ้านไปส่งให้บ้านป้่าสะใภ้ ที่ข้างๆ โรงหนัง ได้เห็นคนมุงดูอะไรที่ภัตตาคาร

      “เขามุงดูอะไรกัน อ่ะ”  ผมถามกับชาวบ้านที่เป็นคนรู้จัก

      “งานแต่ง ของสิบเอกโชติกับสมศรี ลูกสาวหมู่แผน นะ”

      “เหรอ เป็นไปได้ไง ไอ้สมศรียังเพิ่งเรียนแค่ชั้น ป.7 อายุเพิ่งจะสิบสี่เอง ”ผมพูด

                 ผมยินงง อยู่สักพัก แล้วจึงเดินไปส่งขนมให้ป้า เพื่อจะได้เตรียมไว้ขายในวันรุ่งขึ้น   

                                              **************************

         เมื่อผมมาทำงานที่วิทยาลัยแห่งนี้ นักศึกษาที่มาเรียนทั้งหมดอยู่ระดับชั้นปวส .อายุพวกเขาอย่างน้อยคงน่าจะ อยู่ระ -หว่าง 17- 19 ปี ความเป็นวันรุ่นของพวกเขา กำลังจะเข้าสู่ความเป็นผู้มีอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว  จริงๆแล้วเรื่องบางเรื่อง ทางสถาบันฯ รวมทั้งอาจารย์ผู้สอน ควรดูแลพวกเขาห่างๆ คอยส่งเสริม -สนับสนุนกิจกรรมให้พวกเขากระทำ โดยไม่ต้องมีการบังคับ ควรให้สิทธิ เสรีภาพตามสมควร และไม่ควรตีกรอบจนมากเกิน จนไม่เป็นอิสระ   นับแต่ผมเข้ามาทำงานที่นี่  สังเกตว่าอาจารยฺ์แผนกปกครองมักหยุมหยิมกับกฎระเบียบ มีข้อห้ามโน่น ห้ามนี่  ทั้งอาจารย์ประจำวิชาส่วนหนึ่งก็เคร่งครัดกับระเบียบบางเรื่องจนมากเกินไป ยกตัวอย่างอย่างเช่น การเข้าห้องเรียน  อาจารย์บางคน บังคับให้นักศึกษาต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องเรียน  ปัญหาการมาเรียนสาย การแต่งกาย การไว้ทรงผม ที่ผู้สอนส่วนมาก ตึงเกินไปจึงเป็น  สาเหตุให้นักศึกษาเกิดการประท้วง จนผู้บริหารต้องสั่งให้ปิดการเรียนในหลายๆครั้ง  

          “พรรณี ดูเด็กคนนี้สิ สงสัยถ้าจะท้องแล้วล่ะ  ”อาจารย์พวงเพ็ญ พูดกับเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน

         “พรรณี นายคนนี้ ถ้าจะติดยานะ ดูอาการไม่มีเรี่ยวมีแรงจะลงงาน”  

         “ยัย.คนนี้ ถ้าจะเรียนไม่จบแน่ เอาแต่ไปเที่ยว ดูหนังฟังเพลง ตอนกลางคืน"

         ”มัวแต่กินเหล้าเมายา  มาเข้าเรียน ก็เอาแต่หลับ สอบไม่ได้ก็มาโทษครูผู้สอน" 

                                                          ฯลฯ  

           ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าในสถานศึกษาที่ผมทำงานยังมีครูอาจารย์ที่เป็นเพศแม่หลายๆคน ที่เฝ้าสังเกตและคอยจับผิด ลูกศิษย์เสมือนไม่ใช่ลูกศิษย์ขนาดผมเป็นผู้ชาย ผมยังรับไม่ได้กับพฤติกรรมที่เขาชอบซุบซิบนินทาลูกศิษย์ ที่เปรียบเสมือนลูกของตน ซ้ำร้ายอาจารย์ผู้ชายส่วนหนึ่งก็มีนิสัยดังกับสตรีเพศ หยุมหยิม คอยจับผิดลูกศิษย์ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด การที่ผมเพิ่งมาทำงานใหม่ๆย่อมต้องยอมอดทนกับสิ่งที่ไม่ชื่นชอบกับพฤติกรรมของอาจารยฺเหล่านี้  หลายครั้งๆ ผมแสดงอาการ ด้วยความไม่เห็นด้วยที่พวกเขากระทำ

       “ขอถามหน่อยพวกพี่ทำไม???จึงห้ามนักศึกษาหญิง ซ้อนท้ายจักรยานนักศึกษาชาย เข้ามาในสถานศึกษา” ผมถามด้วยหงุดหงิดกับที่พวกเขาออกกฎกติกาบ้าๆ อย่างนั้น

       “ เพื่อไม่ให้เกิดความใกล้ชิด ระหว่างเพศ  จนเกิดอารมณ์ได้ จนถึงขั้นเลยเถิดไปมากกว่านี้” อาจารย์ปิติ แผนกปกครองพูด

     “ เด็กๆเขาก็มีวุฒิภาวะพอ ที่จะรู้ว่าอะไรเหมาะ อะไรควรนะครับ  แค่ซ้อนท้ายจักรยานกัน คงไม่มีสถาบันใดออกกฎห้ามซ้อนหรอก พี่ลองดูที่เกษตร..บางเขนสิ นักศึกษาเขาก็ใช้จักรยานเป็นพาหนะขี่ไปเรียน  ถ้างั้นที่สถานการศึกษาที่บางเขน คงวุ่นวายป่นปี้ ไปหมดแล้วสิ ”ผมพูด

      “เรื่องของเขา ที่นี่ จะออกระเบียบแบบนี้  เพื่อตัดไฟต้นลม” อาจารยฺปิติ พูด

       “ผมว่า ควรหาทางออกที่ดีกว่านี้ จะดีกว่า นะ”

       ภาวะความกดดันเรื่องการซ้อนท้ายจึ งเกิดการประท้วงหยุดเรียนขึ้น และผมก็ถูกมองว่า เป็นคนหนุนหลังให้นักศึกษาประท้วง

     “เวรกรรม ?? เหตุการณ์ อะไรๆไม่ดี  ก็ตกมาหาเราทุกที”ผมคิด   

                                      *  *******************************

       ครั้งที่ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนางสาวอ้อยทิพย์ ลูกสาวคนโตของนักการภารโรงในวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งในขณะนั้นเธอเกิดตั้งท้องขณะกำลังเรียนชั้นปวส.ปีสุดท้าย เทอมสุดท้าย

     “อาจารย์ขลุ่ย ทิพย์ลูกสาวของหนูท้องจะครบ 7 เดือนแล้ว ท้องใหญ่ขี้นทุกวันๆ นี่ถ้าไปเรียนอาจารย์ฝ่ายปกครองรู้ คง ให้ผู้ปกครองพาลูก มาลาออกแน่” แม่ของอ้อยทิพย์มาพูดกับผมที่บ้านพัก

       จริงๆ แล้วครอบครัวนี้ผมค่อนข้างสนิทมาก เรารู้จักกัน ตั้งแต่ครั้งผมเข้าพักในหมู่บ้านกลุ่ม 2  ผมเห็นอ้อยทิพย์มาตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียง 7 ขวบ 

       “เอางี้ พี่รีบไปทำเรื่องรักษาสภาพการเป็นนักศึกษาไว้ก่อน จากนั้นพี่ให้ทิพย์ไปอยู่ต่างจังหวัด จนคลอดเสร็จ  สามเดือนนี้ ก็เป็นเวลาปิดเทอมพอดี เมื่อเปิดเรียนใหม่แล้ว ทุกอย่างคงไม่มีปัญหา ทิพย์ยังคงเรียนอีกเทอมเดียวก็จบ ยังไงผมจะดูแลและปกป้องเธอ ให้เรียนจบให้ได้”ผมพูด

          แม้จะมีเสียงครหาจากอาจารย์บางคน ผมก็บอกให้ครอบครัวของอ้อยทิพย์นิ่งเสีย ไม่ต้องฟังเสียงนกเสียงกา และที่สุดแล้วอ้อยทิพย์ก็เรียนจบจนได้วุฒิ ปวส . อย่างน้อยวุฒิที่เธอมี ก็สามารถนำไปใช้สมัครงานได้ดีกว่าการใช้วุฒิ ม.6   อ้อยทิพย์ ได้เข้าทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ทางภาคตะวันออก จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่เธอมีเงินเดือนสามารถนำมาเลี้ยงครอบครัว โดยไม่ต้องเป็นภาระของตายายเหมือนก่อน

                                                         ************************

        นักศึกษาในความดูแล ของผมไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงหรือเพศที่สาม จะต้องได้รับการดูแลในทุกๆเรื่อง เบื้องต้นคือการดูแลด้านระเบียบวินัย วิธีการที่ผมทำคือ ใช้วิธีการแบบเป็นกันเอง ทำตนเองให้เป็นแบบอย่าง ด้วยการแต่งตัวเรียบง่าย ตรงต่อเวลา ความเสียสละ มีน้ำใจ ซื่อสัตย์ฯลฯ นักศึกษาที่ผมสอนและนักศึกษาที่ผมดูแลในฐานะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาจะเห็นการกระทำของผมจริงๆมากกว่าที่จะสอนศิษย์เพียงทฤษฎี ทุกคนที่เป็นลูกศิษย์ถึงจะสอนหริอไม่สอนเป็นเด็กต่างสาขาวิชา ต่างคณะฯ หากผมสามารถช่วยเหลือในการให้คำปรึกษาหรือช่วยในรูปแบบอื่นๆได้ ผมมิเคยนิ่งดูดาย

          “อาจารย์คะ  หนูจะมาทำเรื่อง ขอรักษาสภาพการเรียน ค่ะ”พรทิพย์พูด

          เธอมาพบกับผมหลังจากที่ผมเพิ่งสอนเสร็จได้ไม่ถึง 5 นาที เพียงแค่เธอพูดมาเท่านี้ ผมก็ทราบได้ในทันทีว่า เธอมีปัญหาเรื่องลูกในครรภ์ที่กำลังจะคลอด 

         “ดำเนินการเลย ว่าแต่ทางบ้าน ทราบแล้วใช่มั้ย ”

         “ทราบแล้วค่ะ เดือนหน้าหนู ก็จะคลอดบุตรแล้ว  ”พรทิพย์พูด

         “อาจารย์ทราบและติดตามข่าวของคุณมาตลอด  และพยายามหาทางช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่พรทิพย์พยายามหลบหน้าอาจารย์เอง” ผมพูด

         “หลังจาก หนูคลอดแล้ว เปิดเทอม หนูจะมาลงทะเบียนเรียน ”

         “ดีแล้ว  เรื่องที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียน  พรทิพย์ต้องเรียนจบให้ได้นะ อาจารย์จะช่วยทุกวิถีทาง ”

         ในที่สุด พรทิพย์ ก็สามารถเรียนสำเร็จได้วุฒิปวส เธอได้เข้าไปทำงานที่กรุงเทพสามารถเลี้ยงดูลูกได้อย่างอบอุ่น

                                                (อ่านเรื่องแม่เลี้ยงเดี่ยวใจเพชร)

       ช่วงก่อนที่ผมจะเกษียณ 6 ปี ในปลายเทอมที่ 2 หลังสอบเสร็จใหม่ๆ ผู้ปกครองของอรัญญา และผู้ปกครองของกรนิสา ได้เข้ามาปรึกษาเรื่องที่บุตรสาวของเขา กำลังจะคลอดอีกในไม่ช้า ผมได้แนะนำให้ผู้ปกครองทั้งสองครอบครัวทำเรื่องเพื่อรักษาสภาพไว้ก่อน ข่าวเรื่องนี้ปกปิดไม่มิด เพราะข่าวนี้รู้กันทั่วในหมู่นักศึกษาและอาจารย์ในสาขาวิชาที่อรัญญาเรียน แต่เป็นความโชคดีของนักศึกษาที่เธอทั้งสองอยู่ในความดูแลของผม จึงไม่มีอาจารย์คนไหนกล้าวิพากษ์วิจารณ์

    “มันผิดพลาดไปแล้วอย่าละทิ้งการเรียน ไปคลอดก่อนซะแล้วกลับเข้ามาเรียนใหม่ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเรียน ” ผมพูด

    ทั้งอรัญญากับกรนิสา  ทำเรื่องการรักษาสภาพการเรียนและไปคลอดทั้งคู่ได้บุตรชายทั้งคู่  เวลาผ่านไปได้เดือนเศษ ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา จึงตั้งใจไปเยี่ยมและให้กำลังใจศิษย์ อีกทั้งถามไถ่ความพร้อมที่จะมาเข้าเรียนในปีการศึกษาต่อไป

    “มีของใช้เด็กๆ มาฝากหลานนะ อรัญญา"ผมพูด 

    วันเสาร์..ที่ผมได้เข้าไปในเมือง จึงได้แวะซื้อของใช้สำหรับทารกสองชุด ในกระเช้ามีแป้งเด็ก สบู่ ยาสระผม ผ้าอ้อม ลูกศิษย์ทั้งสองคน มีอายุรุ่นคราวลูกสาวของผมเอง  ผมเข้าใจในเรื่องของวัยรุ่น ที่มีความรักต่อกันแต่บางทีบางครั้ง ความยับยั้งชั่งใจ อาจเผลอไผลเลยเถิดไปตามสิ่งแวดล้อม เมื่อฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ ก็คงเป็นหน้าที่ ที่เธอจะต้องเลี้ยงลูกที่จะคลอดออกมา

      “อาจารย์..ตา (ผมมีสองสถานะคือเป็นทั้งอาจารย์และตา) เอาของใช้มาฝากหลานนะ ” ผมพูดด้วยความกระดาก  เพราะจริงๆแล้ว ผมยังไม่มีหลานเลยสักคน เนื่องจากลูกสาวของผมยังเรียนอยู่ ทั้งอรัญญากับกรนิสาได้หวนกลับมาเรียนจนได้วุฒิปวส. อรัญญาไปทำงานกับสามีที่กรุงเทพฝากลูกให้ตากับยายเลี้ยง กรนิสา มาเรียนต่อจนจบปริญญาตรี  ลูกของคนทั้งสองเกิดในวันเดือนปี เดียวกันต่างแค่เวลาเท่านั้น  

        นี่ยังเป็นความโชคดี ของลูกศิษย์ในยุคหลังๆ ที่ไม่โดนอาจารย์ยุคก่อนๆอย่างอาจารย์ปวีณา อาจารย์พวงเพ็ญ และอาจาย์ผู้ชายบางคนที่มีนิสัยอย่างสตรีเพศ จับกลุ่มนินทาลูกศิษย์ของตนเองอย่างสนุกปาก เป็นเพราะพวกเขาเกษียณไปก่อน 

        สังคมที่นี่มันแปลกลูกศิษย์กับอาจารย์ มันมีช่องว่างมากเหลือเกิน แทนที่อาจารย์ผู้หญิงจะเข้าใจลูกศิษย์ช่วยหาทางออกให้ แต่นี่กลับว่าลูกศิษย์สาวๆเมื่อเกิดปัญหามักจะมาหาผม ให้ช่วยแก้ัปัญหาให้พวกเธอ 

                                                   บทบาทนี้. ถ้าผมไม่ทำ 

                                              แล้วพวกเธอ จะไปปรึกษาใคร???  

                                                        ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                         (๒๑-๗-๖๗)

     

     

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×